ร้านทอง หรือห้างทอง ที่เรียกกันอย่างคุ้นปาก เป็นร้านขายทองรูปพรรณที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
เดิมทีมีรายได้หลักจากการขายทองรูปพรรณ และทองคำแท่ง เป็นหลัก แต่ในยุคปัจจุบันรูปแบบการหารายได้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อโอกาสทางการขาย ต่อยอดทางการตลาด และทางเลือกของผู้บริโภคที่มีมาก

ขึ้น อย่างเช่น ทองรูปพรรณ จะมีค่ากำเหน็จ ที่ราคาจะขึ้นอยู่กับลวดลาย ที่มีความปราณีต สวยงาม ความยากในการทำที่แตกต่างกัน ส่วนทองแท่ง จะได้เป็นค่าบล็อคที่หล่อออกมาเป็นทองคำแท่ง

ในภาพปัจุบันร้านทองเกือบทั้งหมด มีธุรกิจอื่นๆ เข้ามาส่งเสริมการค้าทองคำอย่างครบวงจร นอกเหนือจากการค้าปลีกทองเท่านั้น เช่น

การแลกเปลี่ยน จะเป็นลักษณะการนำเส้น หรือแบบเก่าที่ลูกค้าเคยซื้อไปแล้ว มาเปลี่ยนแบบไหม่ ซึ่งก็จะมีการเรียกเก็บในส่วนของค่ากำเหน็จของแบบใหม่ที่ต้องการ ส่วนชิ้นเดิมจะถูกขึ้นตามราคาทองรับซื้อ

การรับฝากหรือขายฝาก รูปแบบก็คือคล้ายคลึงโรงรับจำนำ แต่อยู่ภายใต้กฏหมายควบคุมของร้านทองโดยเฉพาะ เมื่อลูกค้าในทองมาฝากไว้จะได้รับเงินจำนวนที่ทางร้านนั้นๆกำหนด ตามน้ำหนักที่ฝากไว้ และมีการจ่าย

อัตราตอบแทน (ดอกเบี้ย) เป็นรายเดือน หากไม่ทำการไถ่ถอนหรือจ่ายอัตราตอบแทน ทางร้านมีสิทธ์ที่จะยึดทรัพย์ และขายทอดตลาดได้

ธุรกิจลงทุนทอง การซื้อขายทองล่วงหน้า  มีการนำระบบดิจิทัลมาใช้เพิ่มช่องทางธุรกิจ เช่นขายทองผ่านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทางโซเชียลมีเดีย, อิเล็คทรอนิกส์แคตตาล็อก หรือการทำแอพพลิเคชั่น ให้บริการด้านต่างๆ

และเรื่องธุรกิจการลงทุน ยังแตกออกได้เป็นเฉพาะส่วนต่างๆได้อีก

ไม่ว่าจะเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย sub-broker ซื้อขายกองทุนรวมอีทีเอฟทองคำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นตัวแทนขายกองทุนรวมต่างๆ ของ

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ชั้นนำ ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นต้น

ช่องทางเหล่านี้เป็นการพัฒนา และขยายธุรกิจตลาดการค้าทองทำให้ทันสมัยยิ่งมากขึ้น เพื่อรองรับผู้บริโภคยุดใหม่

แต่ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจรูปแบบใดของทองคำ การสร้างความไว้ใจ ความน่าเชื่อถือ และการบริการ ต่อลูกค้า ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รวมทั้งการทำโปรโมชั่นสอดคล้องกับธุรกรรมต่าง ก็เป็นอีกปัจจัยการตัดสินใจนอกเหนือ

จากเรื่องราคาตามน้ำหนักทอง ให้กับลูกค้าในอีกทางหนึ่งด้วย